เมื่อพูดถึงสินค้าพรีเมี่ยมในแคมเปญการตลาดต่าง ๆ แน่นอนว่าหลายคนคงพอจะสังเกตเห็นได้ว่า สินค้าส่วนใหญ่ที่แบรนด์ธุรกิจ ห้างร้านต่าง ๆ นำมาทำเป็นของพรีเมี่ยมนั้นมักจะมีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก กะทัดรัด เช่น ปากกา พวงกุญแจ กระเป๋าพกพาแบบต่าง ๆ หรืออย่างน้อยก็มีขนาดเล็ก พกพาสะดวกภายหลังการพับเก็บแล้ว เช่น ร่ม เสื้อยืด เป็นต้น ในทางตรงกันข้ามสินค้าที่มีขนาดใหญ่มักเป็นกลุ่มสินค้าที่เราไม่ค่อยได้พบเห็นในแคมเปญการตลาดกันมากนัก แต่ก็พอจะมีให้เห็นกันอยู่เป็นระยะ ๆ บ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะแคมเปญการตลาดของแบรนด์ธุรกิจ ห้างร้านเจ้าดังต่าง ๆ ที่มักจะนำเอาสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น กระเป๋าเดินทาง มาใช้เป็นของพรีเมี่ยมปะปนกับสินค้าขนาดเล็กชิ้นอื่น ๆ เป็นครั้งคราว ในบทความนี้จึงได้รวบรวมเอา 5 เหตุผลที่แบรนด์ต่าง ๆ ไม่นิยมนำเอาสินค้าที่มีขนาดใหญ่มาทำเป็นของพรีเมี่ยมในแคมเปญการตลาดต่าง ๆ มาบอกกล่าวให้ได้ทราบกัน
ต้นทุน/งบประมาณที่สูง เหตุผลแรกที่สินค้าขนาดใหญ่ไม่ได้รับความนิยมในการเลือกใช้เป็นของพรีเมี่ยมสำหรับแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ก็คือ เหตุผลด้านต้นทุน หรืองบประมาณที่ต้องใช้นั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าพื้นฐานต้นทุนอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าประเภทต่าง ๆ นั้น สินค้าที่มีขนาดใหญ่ย่อมมีแนวโน้มที่จะใช้ต้นทุนสูงกว่าสินค้าขนาดเล็ก เนื่องจากจำเป็นต้องใช้วัสดุมากกว่าในขั้นตอนการผลิต โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ใช่สินค้ากลุ่มเทคโนโลยี แก็ดเจ็ต และไม่มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน ต้นทุนหลัก ๆ ก็มักจะผันแปรไปตามขนาดของตัวสินค้า
ภาระในการนำกลับและเก็บรักษาของลูกค้า เหตุผลสำคัญประการต่อมาที่นักการตลาดไม่นิยมเลือกเอาสินค้าชิ้นใหญ่ๆ มาทำเป็นของพรีเมี่ยมแจก แถมให้แก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายก็คือ ภาระในการนำกลับและเก็บรักษาของพรีเมี่ยมชิ้นนั้น ๆ ที่เกิดกับลูกค้านั่นเอง เพราะแน่นอนว่าลูกค้าย่อมรู้สึกว่าการนำกลับและเก็บรักษาสินค้าชิ้นเล็ก ๆ ไว้นั้นง่ายกว่าการเก็บรักษาสินค้าขนาดใหญ่ อย่างเช่นกระบอกน้ำ ที่มีขนาดเล็ก เก็บรักษาง่าย
แนวโน้มในการพกพาติดตัว เหตุผลต่อมาถือว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิผลทางการตลาดโดยตรง ซึ่งก็คือแนวโน้มที่ลูกค้าที่ได้รับของพรีเมี่ยมชิ้นนั้น ๆ ไปจะพกพาสินค้าติดตัวนั่นเอง พูดง่าย ๆ ก็คือ ของพรีเมี่ยมชิ้นเล็ก ๆ เช่น พวงกุญแจ ปากกา เครื่องเขียน มักมีแนวโน้มที่ลูกค้าจะพกพาติดตัวไว้มากกว่าสินค้าที่มีขนาดใหญ่ และแน่นอนว่าโอกาสในการจดจำ นึกถึงแบรนด์ก็ย่อมมีมากกว่าตามไปด้วยนั่นเอง
ง่ายต่อการขนย้าย แจกมอบให้แก่กลุ่มเป้าหมายในแคมเปญ เหตุผลต่อมาที่ทำให้สินค้าขนาดเล็กเป็นของพรีเมี่ยมที่เวิร์กกว่าสินค้าชิ้นใหญ่ ๆ ก็คือ ความสะดวกในการจัดการ ขนย้าย แจกมอบสินค้าให้กับกลุ่มเป้าหมายในแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ของแบรนด์นั่นเอง เนื่องจากรูปแบบ และสถานที่จัดทำแคมเปญการตลาดต่าง ๆ นั้นไม่มีแพทเทิร์นที่ตายตัว และอาจมีการปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมกับช่วงเวลาและสถานการณ์ได้ตลอด
ตัวเลือกสินค้าขนาดเล็กมีเยอะกว่า อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้การเลือกใช้สินค้าชิ้นเล็กทำเป็นของพรีเมี่ยมดูเวิร์กกว่าสินค้าชิ้นใหญ่ ๆ ก็คือ ตัวเลือกสินค้าที่มีเยอะกว่านั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นสินค้ากลุ่มเครื่องเขียน แก็ดเจ็ต พร็อพแต่งกาย ของใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่มีขนาดกะทัดรัดทั้งนั้น ขณะที่สินค้าที่มีขนาดใหญ่นั้นนอกจากจะมีตัวเลือกไม่มากแล้ว ก็ยังตามมาด้วยข้อจำกัดด้านต้นทุน หรืองบประมาณที่ใช้ โดยสินค้าหลาย ๆ ชิ้นแม้จะมีประโยชน์ใช้สอยพื้นฐานในชีวิตประจำวันที่กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ต้องการ มีคุณสมบัติหลายอย่างที่เหมาะสมจะทำเป็นของพรีเมี่ยมแจก แถมในแคมเปญการตลาดต่าง ๆ แต่สุดท้ายข้อจำกัดด้านต้นทุน และการใช้งบการตลาดก็มักสร้างความยากลำบากให้กับแบรนด์ต่าง ฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแคมเปญที่มีกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก